เมื่อคืนดูหนังดราม่าจบไปสองเรื่อง ตอนตีสอง ตีสี่ต้องรีบตื่นเพราะขรี้แตก แว่บมานอนต่อ พอตีห้าครึ่งโทรศัพท์ก็ปลุกกรูอีกแระ อั๊ยย่ะ ทันหมัยป่ะล่าไม่ได้ใช้นาฬิกาปลุกแล้วนะเว๊ย เพราะกรูใช้โทรศัพท์ปลุก….. ตึ่งโป๊ะ
สรุปเรื่องหนังก่อน เรื่องแรก brain on firer ตอนแรกโหลดมาดูเพราะชอบนางเอก เนื้อเรื่องคือนางเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่เจอมีอาการคลุ้มคลั่ง เกือบได้ส่งไปโรงยะบาลบ้า แต่โชคดีมีหมอคนหนึ่งที่ทุ่มเทค้นหาสาเหตุจนเจอว่านางเป็นโรคไฟไหม้สื่อประสาทในสมอง ก็รักษาจนหายกลับมาเป็นคนปกติ อ่ะงงเด้ๆ กรูก็งงเหมือนกัล
เรื่องที่สอง พระเจ้ามาทั้งเรื่อง เกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งทีความฝั่งใจเรื่องพ่อแดกเหล้าเฮงซวยทุบตีเมียกะลูกเวลาเมาจนเด็กมันฝั่งใจแค้นวางยาใส่เหล้าให้พ่อมันแดกแล้วตายห่าไป มันก็เลยเก็บกดพูดกะใครไม่ได้จนกระทั่งเรื่องแย่ๆมาเกิดกับครอบครัวตัวเอง เวลาที่เขาโตขึ้น ในเรื่องก็จะมีตัวแทนของพระเจ้ามาช่วยปลดปล่อยความแค้นความผิดทั้งหลายในจิตใจจนกลับมาเป็นคนที่รักครอบครัวคนเดิมเท่าที่ชายคนหนึ่งจะรักได้
สรุปอีกที เท่าที่ประมวลผลจากหนังทั้งสองเรื่อง ชีวิตคนเรานั้นอย่าเยอะ ทำงานก็อย่าคาดหวังอะไรมากมาย บ้าสติแตกเสียผู้เสียคนมาหลายคนแล้ว และที่เห็นคือบริษัทที่เขาจ้างมึงมาไม่ได้แยแสมึงเลยสักนิด เขาก็ประกาศหาคนมาแทนมึงได้ การมีเป้าหมายในชีวิตคือสิ่งที่ดี แต่วิธีการไปให้ถึงเป้าหมายก็มีหลากหลายวิธี ยังไงถ้าไม่หมดกำลังใจเสียก่อน ไปถึงแน่นอน คนบางคนก็มัวแต่ฟังเสียงคนอื่นจนลืมฟังเสียงหัวใจตัวเอง พอคิดจะทำอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียง “เค้า” ว่าเฮ๊ยจะดีเหรอ ก็เขวแล้ว โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “เค้า” คนนั้นคือใครช่างมีอิทธิพลต่อชีวิตมึงเหลือเกิน