พลังแห่งการออมเงิน

วันนี้ได้อ่านเรื่องราวดีๆ ที่คุณ tanamonji1 จากเวบพันทิพย์ เอามาแบ่งปัน ก็เลยอดไม่ได้ที่จะนำมาแชร์ เพื่อถ่ายทอดออกไป เพราะว่า การออมเงิน ในยุคสมัยปัจจุบัน ผมว่ามันน่าจะต้องส่งเสริมกันให้มากๆ สังคมทุกวันนี้ มันอยู่ยาก เพราะข้าวของแพงแล้วยังไม่พอ ค่านิยมผิดๆ ที่เด็กวัยรุ่น หรือแม้แต่คนทำงานทั่วๆไป นิยมทำตามๆ กันคือ รสนิยมการดำเนินชีวิตที่ต้องแข่งขันกันด้านอุปกรณ์ เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ เครื่องแต่งการ นำสมัย แฟชั่น ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งสิ้น คนที่มีเงินอยู่แล้วก็เอามาสนองตอบตัณหาตัวเองได้ไม่ลำบากอะไร แต่บางคนเงินก็ไม่ค่อยจะมี ก็ยังอุตส่าไปหาหยิบ(ของคนอื่น)หายืม เพื่อเอามาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้ทัดเทียมกับเพื่อนๆ เดี๋ยวเพื่อนจะหาว่า เอาท์ แน่ะ ก็ว่ากันไป ก็ลองอ่านบทความด้านล่างกันดูนะครับ ผมว่า ทำตามได้ไม่ยาก ไม่ต้องกลัวว่าจะสายเกินไป เริ่มได้ ก็เริ่มเลยครับ คนเราจะมีอายุยืนยาวสักเท่าไหร่กัน ลุยเลยครับพี่น้อง เราเกิดมาลุย อยู่แล้ว

[quoter color=”#FFCCCC” align=”alignleft”]สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน
ปัจจุบันผมอายุ 24 ปี กำลังจะครบ 25 ปี(เดือนธันวา57) อาชีพในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับการขายและการตลาดครับของบริษัทชื่อดังเป็นเวลา 1 ปีกว่า ผมมีเงินล้านก่อนอายุ 25 ด้วยกระดาษ 1 แผ่นได้อย่างไรผมจะเล่าให้ดูครับ
สมัยที่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัย (มอ.) ประมาณปี 3 ปี 4 ผมได้เขียนความฝันที่ต้องทำสำเร็จก่อนอายุ 25 ปีลงในสมุด ความฝันผมเขียนเป็นดังนี้
1. ฉันมีเงินล้านให้ได้ภายใน วันที่ 31/12/2014 (ก่อนอายุ 25 ปี)
2. ฉันสอบ…(เรื่องเกี่ยวกับการเรียน) >>> ฉันทำสำเร็จแล้วในปี2013
3. ฉันมี(เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ, ร่างกาย) ก่อนอายุ 25 ปี >>> ปัจจุบันยังต้องพัฒนา(ผมไม่อ้วนนะครับ)
4.ฉันพูดภาษาอังกฤษ สื่อสารกับชาวต่างชาติให้ได้ เน้นพูด เน้นฟังให้เข้าใจประมาณ 60% up ก่อนอายุ 25 ปี >>> ปัจจุบันก็พูดฟังได้บ้างแต่ต้องเรียนรู้อีกมาก สำเร็จสักประมาณ 30-40 %
5.ฉันมีแฟนที่มีบุคลิก นิสัย รูปร่าง …… (M) >>> ปัจจุบันยังโสด T-T
6.ฉันเป็น….อยู่บริษัท top 5 ของอุตสาหกรรม หลังเรียนจบภายใน 3 เดือน ฉันต้องได้งานนี้ >>> ปัจจุบันผมได้ทำงานกับบริษัทอันดับที่ 1 ของอุตสาหกรรม และได้งานหลังเรียนจบเพียง  1 เดือนได้เดือนเมษายน2013 (ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นจริง เพราะความสามารถผมก็ไม่ค่อยจะโดดเด่นอะไรนัก กิจกรรมก็กลางๆ การเรียนก็กลางๆ )
7. ฉันมีรถยนต์ 1 คันในปี 2013 >>> ปัจจุบันผมทำสำเร็จแล้วและเป็นรถยนต์คันแรกของครอบครัวด้วยและเป็นรถที่ใช้ในการทำงาน(คือครอบครัวผมไม่เคยมีรถยนต์มาก่อน)

ผมตกใจมากเมื่อผมมองดูความฝันพบว่าความฝันส่วนใหญ่ที่ผมเขียน “ มันเป็นจริงแล้ว!!!!!” และบางเรื่องมันเป็นจริงเร็วกว่าที่ผมคิดไว้อีก โอ้…ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมทำมันสำเร็จแล้ว>>> ความสำเร็จของผมจุดเริ่มต้นคือกระดาษแผ่นนี้ >>>ถ้าวันนี้คุณเชื่อว่าเป้าหมายที่คุณเขียนไว้มันเป็นจริง(คุณต้องเชื่อว่ามันเป็นจริง คุณเห็นภาพความสำเร็จ) เป้าหมายนั้นจะนำ How to, นำเหตุการณ์ต่างๆที่ในระยาวแล้วมันส่งผลกับเป้าหมายที่คุณได้เขียนหรือตั้งเป้าหมายไว้ วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าผมได้เงิน 1,000,000 บาทก่อนอายุ 25 ปีได้อย่างไร
ก่อนที่ผมจะเล่าว่าผมทำอย่างไร้เรามาทำความรู้จักของพลังของเงินกันก่อน คือ
1. พลังของเวลา>>>คุณเคยได้ยินไหมครับว่า “ออมก่อนรวยกว่า” ยิ่งเราเริ่มต้นออมเร็วเท่าไรเราก็ยิ่งมีเงินมากขึ้น (ยิ่งคุณออมตั้งแต่อายุน้อยๆคุณยิ่งมีเงินมากขึ้น การออมเพียงอย่างเดียวในระยะยาวอาจจะไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ แต่การออมมันคือพื้นฐาน ทักษะ ที่จะต้องอยู่ในสันดานให้ได้ มันต้องทำเป็นอันดับแรกเมื่อคุณได้รับเงินเดือนทุกครั้งหรือที่กูรูชอบพูดว่า “จ่ายให้ตนเอง=เงินออม(รายรับ-เงินออม=ร่ายจ่าย)”เรื่องนี้ผมพิสูตรแล้วว่ามันเป็นจริง ผม confirm เลย
ยิ่งคุณไม่สามารถจ่ายให้ตนเองเป็นอันดับแรกนั้นหมายถึงโครงสร้างทางการเงินของคุณมันมีปัญหา คุณต้องการปัญหาส่วนนี้ให้ได้ก่อนรีบจัดการมันซะ มันสำคัญมากกกกกก
2. พลังของการลงทุน
คุณเชื่อมั้ยว่าถ้า 10 ปีที่แล้ว มีคนอยู่ 2 คน มีเงินหนึ่งล้านบาท คนแรกไปซื้อพัทธบัตรรัฐบาลได้ประมาณ 5% ต่อปี รวมแล้วคุณจะได้ประมาณ 1.5 ล้านบาท คนที่สองนำไปลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นไทยซึ่งผลตอบแทนของกองทุนที่ 10 ปีใน 10 อันดับแรก อยู่ที่ประมาณ 15-18 % ต่อปี คนที่สองจะได้เงินประมาณ 4 ล้านบาท up
เห็นมั้ยครับว่าพลังของการลงทุนมันมีพลังมาก (เพียงแค่เองเงินไปลงทุนในกองทุนรวมโดยที่คุณไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนเลยนะว่าซื้อหุ้นแบบไหน ราคาเท่าไร บาบาบา แค่ให้ผู้จัดการเขาไปลงทุนเอง)
สำหรับผมพลังข้อนี้ผมกำลังพิสูตรอยู่ครับผมลงทุนแบบ DCF ทุกเดือนผ่านกองทุนรวม(คุณเชื่อมั้ยว่าผมลงทุนตอน set 1,600 ได้ครับ แต่ปัจจุบันกองทุนที่ผมถืออยู่มันเป็นบวกครับแต่บวกนิดหน่อย เรื่องนี้ต้องใช้เวลาอย่างต่ำๆก็ 5 ปีครับ แล้วมาดูกันว่าผลเป็นอย่างไร)
แล้วถ้าวันนี้คุณใช้พลังของข้อ 1 และ ข้อ 2 พร้อมกันละครับ คุณคิดว่าชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปไหม???
ผมจะเล่าให้ฟังว่า 1 ล้านแรกของผมมันมาได้อย่างไรโดยที่ผมเริ่มต้นจาก 0 ………
สมัยที่ผมเรียน ประถมครอบครัวให้ผมวันละ 20 บาท เพื่อใช้จ่ายคณะอยู่โรงเรียน แต่เงิน 20 บาทของผมส่วนใหญ่ ร้อยละ 85-90 % ที่ได้ผมจะเก็บเงินเข้า Bank เสมอ >>>>ทำไมต้องสมัยเด็กๆผมถึงออมเงินได้ อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อผมพูดถึงเรื่องการออมสม่ำเสมอ (ลูกเก็บเงินบ้างลูก, อย่าใช้จ่ายให้เกินตัว, เอาเงินไปฝากธนาคารบ้างลูก พ่อแม่กว่าจะหาเงินต้องใช้แรง มันเหนื่อยนะลูก บาบาบาบาบา….) สิ่งเหล่านี้มันปลูกฝังเรื่องการออมตั้งแต่เด็กๆสำหรับผมเลยก็ว่าได้(ผมว่ามันเป็นข้อดีมากๆที่ทำให้ผมมีทักษะการออมตั้งแต่เล็กๆ ถ้าเด็กๆพ่อแม่ไม่พูดผมคงติดนิสัยมีเงินก็ใช้แน่เลย555)
พอผมขึ้น มัธยม และเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ได้เงินที่พอแม่ให้เพื่อใช้จ่ายตอนอยู่มหาลัยผมได้วันละ 100 น่าจะได้ จนในที่สุดเมื่อผมเรียนจบมหาลัยผมมีเงินเก็บเกือบ 400,000 บาท >>เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะมีรายได้น้อยหรือมากคุณก็สามารถที่จะมีเงินเก็บก้อนโตได้ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยว่า “รายได้ฉันมันน้อยลำพังการใช้เงินเลี้ยงชีวิตก็จะไม่พอ ให้ฉันเก็บออมก่อนมันเป็นไปไม่ได้ ฉันต้องมีรายได้มากกว่านี้” ผมอยากจะบอกว่าต่อให้คุณมีรายได้ที่มากคุณก็ไม่มีวันที่คุณจะมีเงินเก็บได้เพราะอะไรผมถึงกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่าการเก็บเงินมันไม่ใช่ความรู้แต่มันคือทักษะ มันคือวินัย  เห็นด้วยกับผมมั้ยครับว่าพลังของการออม พลังของเวลาเป็นสิ่งที่มีพลังมากๆ ผมยังไม่ต้องไปไขว้คว้าหางานหาเงินอะไรเลยนะครับ เพียงแค่ เมื่อผมรับเงินทุกครั้งสิ่งแรกที่ผมทำคือจ่ายให้ตนเองก่อนเป็นอันดับแรก นี้คือพลังของการออม และผมขอย่ำเลยครับว่า
“มันไม่สำคัญว่าวันนี้คุณมีรายได้ขนาดไหนจะมากหรือน้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณจ่ายให้ตนเองเท่าไร” (ย่ำอีกครั่งว่า veryๆๆๆๆ importance สุดๆๆๆ)
วันนี้คุณลองถามตนเองจริงๆนะครับว่าวันนี้คุณจ่ายเงินเพื่ออะไร >>>เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อตนเอง เพื่อออม เพื่อสร้างกระแส เพื่อนตาม train หรือเพื่อสังคม เพื่อความสบาย เพื่อการมีหน้ามีตา  ผมไม่รู้ว่าวันนี้คุณจ่ายเพื่ออะไรเพราะผมไม่ใช้เป็นคุณ แต่ทุกครั้งที่มีการจ่ายเกิดขึ้นสำหรับผม   ผมมักจะมีคำตอบทุกครั้งเสมอ ยิ่งถ้าคุณไม่เคยจ่ายเพื่อตนเองเลย ยิ่งยากที่จะประสบความสำเร็จด้านการเงิน
เห็นมั้ยละครับว่ารายจ่ายเป็นตัวทำนายอนาคตการเงินของคุณมากกว่ารายรับวันนี้คุณลองถามตนเองว่า
“ทุกครั้งที่มีการจ่ายเกิดขึ้น คุณจ่ายเพื่ออะไรและมันจะส่งผลต่ออนาคตคุณอย่างไร”
เมื่อผมจบการศึกษา ป.ตรี ผมมีทุนเกือบ 4 แสนบาท อายุตอนนั้น 23 ปี แสดง ผมจะต้องหาเงินประมาณ 7 แสนบาทภายใน 2 ปี เพื่อให้เป้าหมายผมเป็นจริง
แต่โชคก็เข้าข้างผมนะผมได้งานที่ผมฝันไว้ในบริษัทที่ผมไม่คิดว่าผมจะเข้าได้(เป็นบริษัทอันดับ 1 ในอุตสหกรรม……….) ช่วงทำงานแรกผมทำงาปิดยอดขายไม่ค่อยได้และเขตที่ทำงานมันไม่ใช้เขตบ้านเกิดผมด้วย ผมเริ่มต้นจากเขตนี้ด้วยการไม่รู้อะไรเลย จนมีความคิดว่าจะออกจากบริษัทนี้เพราะมันเหงามากเลย กินข้าวคนเดียว อยู่คนเดียว แต่สุดท้ายผมเลือกที่จะอยู่ต่อ ผมเลือกที่จะสู้ และอดทน(พื้นฐาน ผมอยู่ในจังหวัดที่ผมเกิดมาโดยตลอด 23 ปี ไม่เคยไปไหน ไม่เคยต้องใช้ชีวิตเด็กหอขณะเรียนมหาลัย เรียนเสร็จก็กลับบ้าน และผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ชอบไปร้านอาหารเพื่อนั่งกิน ฟังเพลงชิวชิว ชอบกินที่บ้านมากกว่าเพราะครอบครัวทำอาหารอร่อย ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ มุมมองผมนะชีวิตเด็กมหาลัยมันเป็นสังคมที่ไม่ได้คิดถึงเรื่อง benefit มากนักแต่พอทำงานสังคมของการทำงานก็จะมีความคิดถึงเรื่อง benefit มากขึ้น) จนในที่สุดผมทำงานมาเป็นเวลา 1 ปี เต็ม ผมสามารถเก็บเงินได้ 600,000 กว่าบาทจากการทำงาน
ผมจะบอกว่า “ทุกความสำเร็จมันมีเบื้องหลังเสมอ” คุณจำคำพูดผมไว้ คุณรับได้มั้ยว่าเงินที่ผมเก็บมาได้จะต้องแลกกับ การทำงานที่หนักมาก เครียดตลอดเวลา การกินข้าวคนเดียว ทำงานคนเดียว ไม่เที่ยว ไม่กิน เจอแรงกดดันที่ต้องทำยอดทุกเดือนเพื่อให้ถึงเป้าที่กำหนดและเพิ่มขึ้นทุกเดือน เจอกับสังคมที่ใสแต่หน้ากาก เจอกับความเสี่ยงบนท้องถนนทุกวัน วันเสาอทิตย์ทีไรมักไม่มีอะไรทำ  อื่นๆอีกมาก(บางเรื่องผมไม่สามารถเล่าได้เพราะมันจะเจาะจงเกินไป)
และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ผมมาดูงบการเงินของผม ผมมีเงิน 1 ล้านแล้วครับ
(เงินล้านของผมอยู่ในรูปของประกัน กองทุน LTF กองทุนรวม หุ้นนิดหน่อย เงินสดค่อนข้างเยอะ)

Key success ที่ทำให้ผมทำเป้าหมายนี้สำเร็จมีแค่ 2 อย่างคือ วินัยการเก็บออมผมเรียกมันว่าวินัยการจ่ายให้ตนเองก่อน(ถ้าคุณลองอ่านหนังสือ the rich man in Babylon หรือ เรื่องเงินที่โรงเรียนไม่เคยสอน …. เขาแนะนำสมการ รายรับ – เงินออม = รายจ่าย คุณรู้ไม่ครับว่าสมการนี้มันอยู่ในสายเลือดผม ไม่สิ ผมว่ามันอยู่ในspinal cord มันเป็น reflex ไปแล้วครับ และการเพิ่มช่องทางการหารายได้ สรุปง่ายคือ”ออมและหา”
ผมจะบอกให้ว่าเรื่องการเงินส่วนบุคคลจะเกี่ยวข้องกับ 4 เรื่องนี้เสมอ
1.    การหา
2.    การใช้จ่าย
3.    การออม
4.    การลงทุน
ผมทำข้อ 1 – 3 ซ่ำไปซำมา วนไปวนมา จนทำให้ผมมีเงินล้านได้และผมจะบอกว่าผมเริ่มคิดวางแผนวานที่จะเกษียณตั้งแต่ผมเริ่มทำงาน (หลายคนอาจจะบอกผมว่า บ้าไปแล้ว ผมจะตอบว่าใช้ผมบ้า เพราะผมบ้าในวันนี้ผมจะทำในสิ่งที่ทุกคนคิดว่าไม่บ้าในวันข้างหน้า)
สิ่งที่อยากจะฝาก
1.    สังคมเด็กๆสมัยนี้ลำบากมากขึ้นเพราะพวกเขาถูกปลูกฝังกับโฆษณาที่ทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์ มันสร้างความต้องการที่ไม่ดูปัจจัยพื้นฐานที่ตนเองเป็น อยากให้สังคมไทยรู้จักการออมให้มากกว่านี้ อยากให้รู้คุณค่าว่าเศษเงินในวันนี้จะเป็นเงินก้อนโตในวันข้างหน้า
2.    เรื่องสังคมเงินผ่อนมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น สมัยนี้สินค้าราคา 10,000 – 30,000 บาทยังต้องมีการผ่อนเลย นั้นหมายถึงว่าตัวคุณเองยังไม่สามารถมีเงินเก็บในกรณีที่คุณเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้(ตากหลักแล้วกูรูแนะนำว่าควรจะมีเงินออมไว้ยามฉุกเฉย ประมาณ 3 หรือ 6 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือน คิดง่ายๆ รายจ่ายที่ใช้ในชีวิตประจำวันเดือนละ หมื่นบาท แสดงว่าคุณต้องมีเงินสำรองอยู่ในบัญชีอย่างต่ำ 3 หมื่นบาท) เห็นมั้ยครับว่าเงิน 3 หมื่นคุณยังเก็บไม่ได้แต่ความต้องการของคุณมันสูง แสดงว่าโครงสร้างทางการเงินของคุณมันมีปัญหา คุณควรที่จะต้องแก้ไขก่อน ก่อนที่จะสร้างหนี้ (สำหรับคนที่ใช้สิทธิในการซื้อของด้วยการผ่อนผมยินดีครับถ้าคุณมีเงินสำรองอยู่แล้ว เพราะการซื้อของด้วยการผ่อนมันเป็นการแบ่งเงิน แทนที่จะจ่ายเป็นก้องทีเดียว)
3.    ความสำเร็จของผมมันก็เป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น หลายคนอาจจะทำตามได้ แต่หลายคนอาจจะทำตามไม่ได้
4.    โครงการรถยนต์คันแรก ด้วยตัวโครงการมันเองเป็นโครงการที่ดีมากกกกก แต่แฝงด้วยคมมีดที่พร้อมจะกรีดตัวคุณได้ถ้าคุณไม่พร้อม (ลองคิดเองนะว่าพร้อมมันคืออะไร)
5.    มีกูรูหลายๆคนชอบพูดว่า เงินคือความคิด ผมว่าประโยชน์นี้มันเป็นจริงเลยละ
ขอให้ทุกคนโชคดีประสบความสำเร็จครับ[/quoter]

CR: http://pantip.com/topic/32136372

Scroll to Top