การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
ไตคืออะไร
ไตเป็นอวัยวะ ที่มีรูปร่างคล้ายถั่ว มี 2 ข้าง อยู่บริเวณใต้ชายโครงด้านหลังบริเวณบั้นเอว
หน้าที่ของไต
ไตมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
– ขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินทิ้งไปโดยกรองออกทางปัสสาวะ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย
– รักษาระดับเกลือแร่ในเลือดให้เป็นปกติ เกลือแร่ ได้แก่ โซเดียม โปรแตสเซียม ฟอสเฟต
– สร้างฮอร์โมนต่างๆ ได้แก่ สารสร้างเม็ดเลือดแดง ได้แก่ อิริโทรโพอิติน
– สารควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับคงที่ ได้แก่ เรนิน สารเสริมกระดูก ได้แก่ วิตตามินดี
โรคไตเรื้อรัง คืออะไร
โรคไตเรื้อรัง (ไตเสื่อม) คือ การที่ไตทำงานลดลง หรือเสื่อมตามอายุขัยตามธรรมชาติ โดยไตจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ โดยเฉลี่ยไตจะทำงานลดลง 1% ต่อปี ถ้าไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรือหยุดทำงานทันที เรียกว่า โรคไตวายเฉียบพลัน ซึ่งกลับเป็นปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาที่เหมาะสม แต่ถ้าเสื่อมลงอย่างช้าๆ ต่อเนื่องทำให้เกิดความผิดปกติถาวร เรียกว่า ไตวายเรื้อรัง ซึ่งไตจะทำงานได้น้อยกว่า 15% ของไตปกติ
การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง แบ่งเป็น 5 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ไตเริ่มเสื่อมแต่การทำงานยังปกติ มากกว่า 90 ซีซี/นาที
ระยะที่ 2 ไตเริ่มเสื่อมแต่การทำงานลดลง เท่ากับ 60-89 ซีซี/นาที
ระยะที่ 3 ไตทำงานลดลงครึ่งหนึ่ง เท่ากับ 30-59 ซีซี/นาที
ระยะที่ 4 ไตทำงานลดลงมาก เท่ากับ 15-29 ซีซี/นาที
ระยะที่ 5 ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย น้อยกว่า 15 ซีซี/นาที
** ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่ 5 ต้องรักษาด้วยการฟอกเลือดหรือการล้างไตทางช่องท้อง
สาเหตุของไตเสื่อม
– โรคความดันโลหิตสูง
– โรคเบาหวาน
– ไตเสื่อมตามอายุที่มากขึ้น
– การอักเสบของไต
การดูแลตนเองตามระยะการทำงานของไตง่ายๆ ดังนี้
ระยะที่ 1 ต้องงดสูบบุหรี่ รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ
ระยะที่ 2 จำกัดอาหารเค็ม
ระยะที่ 3 จำกัดโปรตีน
ระยะที่ 4 จำกัดการกินผลไม้
ระยะที่ 5 เตรียมตัวรับการล้างไต หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต
แนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอไตเสื่อม
1. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ได้แก่ การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารเค็ม กรณีที่มีความดันโลหิตสูงหรือบวม หยุดสูบบุหรี่ หยุดดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
2. การควบคุมความดันโลหิต โดยมีเป้าหมายให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท ให้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เลือกใช้ยากลุ่ม เอซีอีไอ และกลุ่ม เออาร์บี
3. การควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ที่ระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้า ต่ำกว่า 130 มก/ดล และ HbA1c ต่ำกว่า 7 % ในผู้ป่วยเบาหวาน
4. การจำกัดโปรตีน โดยรับประทานโปรตีน 0.6 กรัม/ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)/วัน
5. การลดระดับไขมันในเลือดให้ค่า LDL ต่ำกว่า 100 มก/ดล เลี่ยงการบริโภคไขมันอิ่มตัวสูง
6. หลีกเลี่ยงสารหรือยาที่มีผลต่อไต ได้แก่ ยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยาสมุนไพร และยาลูกกลอน
การรับประทานอาหารเมื่อไตเริ่มเสื่อม
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
2. รับประทานโปรตีนคุณภาพดี ได้แก่ ไข่ นม เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์และนม และปริมาณโปรตีน 0.6 กรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)/ วัน และ 0.3-0.4 กรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)/วัน เมื่อไตเสื่อมระยะที่ 4 และ 5
3. หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์แปรรูป ไขมันสัตว์ งดไข่แดงเมื่อฟอสฟอรัสในเลือดสูง
4. งดอาหารเค็ม ซึ่งมีปริมาณโซเดียมมาก ปริมาณที่ควรรับประทาน/วัน เท่ากับ 2000 มิลลิกรัม หรือเกลือแกง 1 ช้อนชา
5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสมาก ได้แก่ ถั่วต่างๆ เค้ก พาย น้ำอัดลมที่มีสีเข้ม เนย โยเกิร์ต ช็อคโกแลต ชา กาแฟ และไข่แดง